“ใต้ตาคล้ำ” หรือที่หลายคนเรียกว่า “ตาแพนด้า” เป็นปัญหาผิวรอบดวงตาที่พบได้บ่อยและสร้างความกังวลใจให้กับคนทุกเพศทุกวัย ไม่เพียงแต่จะทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย และดูมีอายุมากขึ้น แต่ยังส่งผลต่อความมั่นใจในการเผยผิวอีกด้วย แม้ว่าการมีรอยคล้ำใต้ตาอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่การทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่แท้จริงและรู้จักวิธีดูแลที่ถูกต้อง จะช่วยให้คุณสามารถลดเลือนรอยคล้ำเหล่านี้และฟื้นฟูผิวรอบดวงตาให้กลับมาสดใสเปล่งปลั่งได้ บทความนี้ได้รวบรวมทุกเรื่องที่คุณต้องรู้มาไว้ที่นี่แล้วค่ะ
“ใต้ตาคล้ำ” คืออะไร? และ “ใต้ตาคล้ำเกิดจากอะไร” ได้บ้าง?
“ใต้ตาคล้ำ” (Dark Under-eye Circles) คือ ภาวะที่ผิวหนังบริเวณใต้ตามีสีคล้ำกว่าผิวบริเวณอื่น ซึ่งอาจมีสีน้ำตาล เทา น้ำเงิน หรือม่วง ขึ้นอยู่กับสาเหตุและสีผิวของแต่ละบุคคล ผิวรอบดวงตาเป็นบริเวณที่บอบบางและมีความหนาน้อยกว่าผิวส่วนอื่น ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย
สาเหตุหลักของใต้ตาคล้ำมีหลากหลายปัจจัย
- พันธุกรรม (Genetics) “ใต้ตาคล้ำกรรมพันธุ์” เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย หากคนในครอบครัวมีประวัติใต้ตาคล้ำ คุณก็มีแนวโน้มที่จะมีปัญหานี้ได้ง่ายกว่าคนอื่น
- ผิวหนังบางและสูญเสียไขมัน/คอลลาเจน (Thinning Skin & Loss of Fat/Collagen) เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังรอบดวงตาจะบางลง และมีการสูญเสียไขมันและคอลลาเจน ทำให้เห็นเส้นเลือดฝอยที่อยู่ใต้ผิวหนังได้ชัดเจนขึ้น ส่งผลให้ใต้ตาดูคล้ำ
- เส้นเลือดฝอยที่มองเห็นได้ (Visible Blood Vessels) ในผู้ที่มีผิวขาวหรือผิวบาง อาจเห็นเส้นเลือดฝอยสีน้ำเงินหรือม่วงบริเวณใต้ตาได้ชัดเจน ทำให้ดูเหมือนใต้ตาคล้ำ
- การสะสมของเม็ดสีเมลานิน (Hyperpigmentation)
- แสงแดด (Sun Exposure) รังสี UV กระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานิน ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาคล้ำขึ้นได้
- รอยดำหลังการอักเสบ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation – PIH) เช่น จากการขยี้ตาบ่อยๆ หรือการอักเสบของผิวหนังบริเวณนั้น
- ภูมิแพ้ (Allergies) “ใต้ตาคล้ำ ภูมิแพ้” หรือที่เรียกว่า “Allergic Shiners” เกิดจากการคั่งของเลือดในเส้นเลือดบริเวณรอบดวงตาเนื่องจากอาการภูมิแพ้ที่จมูกหรือไซนัส นอกจากนี้ อาการคันจากภูมิแพ้ที่ทำให้ต้องขยี้ตาบ่อยๆ ก็ยิ่งทำให้ใต้ตาคล้ำมากขึ้น
- ไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Factors)
- การพักผ่อนไม่เพียงพอ (“ใต้ตาคล้ำ นอนน้อย”) ทำให้ผิวดูซีดเซียวและเห็นเส้นเลือดใต้ผิวหนังชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดการบวมของถุงใต้ตาซึ่งทำให้เห็นเงาดำได้ชัดขึ้น
- การขาดน้ำ (Dehydration) ทำให้ผิวดูหมองคล้ำและทรุดโทรม
- ความเครียด (Stress) ส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดและสุขภาพผิวโดยรวม
- อาหารที่ไม่เหมาะสม การสูบบุหรี่ และการดื่มแอลกอฮอล์ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลเสียต่อสุขภาพผิวและอาจทำให้ใต้ตาคล้ำขึ้นได้
- การใช้สายตามากเกินไป (Eye Strain) การจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์เป็นเวลานาน อาจทำให้เส้นเลือดรอบดวงตาขยายตัวและเห็นเป็นรอยคล้ำได้
7 วิธีแก้ใต้ตาคล้ำด้วยตัวเอง และเคล็ดลับดูแลผิวรอบดวงตา
สำหรับรอยคล้ำใต้ตาที่ไม่รุนแรงมาก หรือเกิดจากปัจจัยด้านไลฟ์สไตล์ สามารถลองดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ดังนี้:
- พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับอย่างมีคุณภาพ
- พยายามนอนหลับให้ได้ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน เพื่อให้ร่างกายและผิวพรรณได้พักผ่อนและซ่อมแซมตัวเองอย่างเต็มที่
- การนอนหนุนหมอนให้ศีรษะสูงขึ้นเล็กน้อย อาจช่วยลดการคั่งของของเหลวบริเวณใต้ตาและลดอาการบวมได้
- ดื่มน้ำเยอะๆ และทานอาหารที่มีประโยชน์
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ (อย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน) เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นจากภายใน
- รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อผิว เช่น วิตามินซี วิตามินเค วิตามินอี และธาตุเหล็ก
- ลดการขยี้ตา และดูแลอาการภูมิแพ้
- หากมีอาการภูมิแพ้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม และพยายามหลีกเลี่ยงการขยี้ตา เพราะจะยิ่งทำให้ผิวระคายเคืองและรอยคล้ำเข้มขึ้น
- ประคบเย็น (Cold Compress) ช่วยลดอาการบวมและทำให้เส้นเลือดหดตัว
- ใช้ช้อนแช่เย็น, ถุงชาที่ใช้แล้ว (แช่เย็น), แตงกวาฝานบางๆ แช่เย็น, หรือเจลแพ็คสำหรับประคบตา วางบนเปลือกตาประมาณ 10-15 นาที จะช่วยลดอาการบวมและทำให้เส้นเลือดหดตัวชั่วคราว รอยคล้ำจึงดูจางลง
- เลือกใช้ “ครีมทาใต้ตา” (Eye Cream) ที่มีส่วนผสมช่วยลดรอยคล้ำ
- มองหาผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตาที่มีส่วนผสมช่วยลดรอยคล้ำ เพิ่มความกระจ่างใส และให้ความชุ่มชื้น เช่น:
- วิตามินซี (Vitamin C) ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide – Vitamin B3) ช่วยลดรอยคล้ำ รอยแดง และเสริมเกราะป้องกันผิว
- เรตินอล (Retinol – ในความเข้มข้นต่ำสำหรับรอบดวงตา) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและผลัดเซลล์ผิว (ควรใช้ด้วยความระมัดระวังและทากันแดดเสมอ)
- วิตามินเค (Vitamin K) อาจช่วยลดรอยคล้ำที่เกิดจากเส้นเลือด
- คาเฟอีน (Caffeine) ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและลดอาการบวม
- เปปไทด์ (Peptides) ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว
- กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ช่วยเติมความชุ่มชื้น ทำให้ผิวรอบดวงตาดูอิ่มฟู
- สารสกัดจากชะเอมเทศ (Licorice Extract), อาร์บูติน (Arbutin) ช่วยลดการสร้างเม็ดสี
- การศึกษา รีวิวครีมทาใต้ตา จากผู้ใช้จริงหรือผู้เชี่ยวชาญจะช่วยในการตัดสินใจเลือกผลิตภัณฑ์ได้
- มองหาผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตาที่มีส่วนผสมช่วยลดรอยคล้ำ เพิ่มความกระจ่างใส และให้ความชุ่มชื้น เช่น:
- ปกป้องผิวรอบดวงตาจากแสงแดด: ทาครีมกันแดดและสวมแว่นกันแดด
- แสงแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวคล้ำเสียและเกิดริ้วรอย ควรทาครีมกันแดดสูตรอ่อนโยนสำหรับผิวรอบดวงตา หรือทาครีมกันแดดที่ใช้กับใบหน้าอย่างระมัดระวังไม่ให้เข้าตา และสวมแว่นกันแดดที่มีคุณสมบัติป้องกันรังสี UV ทุกครั้งที่ออกแดด
- เทคนิคการนวดเบาๆ บริเวณรอบดวงตา (Optional, be very gentle)
- การนวดเบาๆ บริเวณรอบดวงตาอาจช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลือง ลดอาการบวมได้ ควรใช้นิ้วนาง (ซึ่งมีแรงกดน้อยที่สุด) นวดวนเบาๆ จากหัวตาไปหางตา และใช้ผลิตภัณฑ์หล่อลื่น เช่น อายครีมหรือออยล์ เพื่อลดการเสียดสี
เมื่อไหร่ควรพิจารณาการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ (Professional Treatments)?
หากรอยคล้ำใต้ตามีความรุนแรง ดูแลตัวเองแล้วยังไม่ดีขึ้น หรือเกิดจากสาเหตุทางโครงสร้างหรือพันธุกรรม การปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการรักษาด้วยหัตถการต่างๆ อาจเป็นทางเลือกที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีและชัดเจนยิ่งขึ้น
- การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels) ใช้กรดผลไม้อ่อนๆ หรือสารเคมีอื่นๆ ที่ปลอดภัยสำหรับผิวรอบดวงตาในการผลัดเซลล์ผิวและลดเม็ดสี
- “เลเซอร์ใต้ตาคล้ำ” (Laser Treatments)
- Pigment Lasers (เช่น Q-switched Laser, Picosecond Laser) ช่วยทำลายเม็ดสีส่วนเกิน ทำให้รอยคล้ำที่เกิดจากเม็ดสีจางลง
- Vascular Lasers ช่วยลดรอยคล้ำที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยที่มองเห็นได้ชัดเจน
- Fractional Lasers ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหนาขึ้นและรอยคล้ำดูจางลง
- สารเติมเต็ม (Dermal Fillers) การฉีดสารเติมเต็มกลุ่มกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid Fillers) บริเวณร่องน้ำตา (Tear Trough) ช่วยเติมเต็มผิวที่ยุบตัว ทำให้ร่องลึกดูตื้นขึ้นและเงาใต้ตาที่ทำให้ดูคล้ำลดลง เห็นผลค่อนข้างเร็ว
- Microneedling การใช้เข็มขนาดเล็กกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอาจมีการทายาหรือเซรั่มบำรุงร่วมด้วย
- Platelet-Rich Plasma (PRP) Therapy การนำเลือดของผู้ป่วยเองมาปั่นแยกเอาเกล็ดเลือดเข้มข้น แล้วฉีดกลับเข้าไปบริเวณใต้ตาเพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมและฟื้นฟูผิว
ความคาดหวังที่เป็นจริง “ใต้ตาคล้ำ” หายได้ง่ายๆ จริงหรือ?
การที่รอยคล้ำใต้ตาจะ “หายได้ง่ายๆ” หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ สาเหตุ เป็นสำคัญ
- รอยคล้ำที่เกิดจากไลฟ์สไตล์ เช่น การพักผ่อนน้อย การขาดน้ำ มักจะตอบสนองต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลตัวเองได้ดีและเห็นผลค่อนข้างเร็ว
- รอยคล้ำที่เกิดจากพันธุกรรมหรือโครงสร้างผิว เช่น ผิวบาง หรือร่องลึกใต้ตา อาจรักษายากกว่าและไม่สามารถทำให้หายไปได้อย่างสมบูรณ์ด้วยวิธีดูแลตัวเองเพียงอย่างเดียว อาจต้องอาศัยการรักษาทางการแพทย์เพื่อช่วยให้ดูดีขึ้น
- รอยคล้ำที่เกิดจากภูมิแพ้ ต้องรักษาที่สาเหตุของภูมิแพ้ควบคู่กันไป
ดังนั้น ความอดทนและความสม่ำเสมอในการดูแล ควบคู่ไปกับการเลือกวิธีที่เหมาะสมกับสาเหตุ คือกุญแจสำคัญ การดูแลผิวรอบดวงตาอย่างถูกวิธี การป้องกันปัจจัยกระตุ้น และการเลือกใช้วิธีการรักษาที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณสามารถลดเลือนรอยคล้ำใต้ตาและเผยดวงตาที่สดใส ดูอ่อนเยาว์ และมั่นใจได้อีกครั้ง