อุตสาหกรรมความงามไทยกำลังเข้าสู่ยุคทองในช่วงปี พ.ศ. 2568–2575 (ค.ศ. 2025–2032) ด้วยการเป็นฐานการผลิต (Manufacturing Hub) ที่สำคัญของ ASEAN และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตลาด Beauty & Personal Care โดยคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 5.45% CAGR จนถึงปี 2034 จากมูลค่า ~4.75 พันล้านดอลลาร์ (ปี 2025) สู่ ~7.87 พันล้านดอลลาร์ (ปี 2034)
ปัจจัยที่ทำให้ไทยกลายเป็นฮับการผลิตความงาม

ประเทศไทยมีจุดแข็งหลายด้านที่ผลักดันให้กลายเป็นฐานการผลิตความงามระดับภูมิภาค ได้แก่
- ทำเลศูนย์กลาง ASEAN เชื่อมโยง CLMV, จีน และตลาดตะวันออกกลาง
- ซัพพลายเชนสมุนไพรและวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น ขมิ้น มะขาม นมผึ้ง ว่านหางจระเข้
- มาตรฐานการผลิตระดับสากล GMP, ISO, Halal, ECO-CERT
- แรงงานฝีมือและ R&D โรงงาน OEM/ODM ที่พัฒนาได้ทั้งสูตรสกินแคร์และเมคอัพ
โครงสร้างพื้นฐานและนโยบายรัฐ
ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการผลักดันศักยภาพของไทยให้เป็นฮับ
- ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 (EEC) เพิ่มขีดรองรับเรือ 20,000 TEU และระบบขนถ่ายอัตโนมัติ ช่วยให้การส่งออกสินค้าความงามรวดเร็วและเสถียร
- สิทธิประโยชน์ BOI เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลหลายปี และ One Stop Service สำหรับการลงทุน
- RCEP และ AEC ทำให้การค้าข้ามประเทศและการใช้แหล่งกำเนิดสินค้ามีความยืดหยุ่น ลดอุปสรรคการส่งออก
ตลาด Beauty & Personal Care ในไทย
ตลาดความงามไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่า
- ปี 2025: ~4.75 พันล้านดอลลาร์
- ปี 2034: ~7.87 พันล้านดอลลาร์
- อัตราเติบโตเฉลี่ย: 5.45% CAGR
โครงสร้างตลาดหลักประกอบด้วย Skincare (60%), Haircare (20%), Makeup (14%), และ Fragrance (6%)
โอกาสการส่งออกสกินแคร์ไทย
ไทยมีศักยภาพสูงในการส่งออกเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคล โดยในปี 2023 การส่งออกในหมวด HS33 มีมูลค่ากว่า 2.45 พันล้านดอลลาร์ และเมื่อรวม HS34 (สบู่ ฯลฯ) จะได้มูลค่ากว่า 3.4 พันล้านดอลลาร์
- CLMV และจีน: ความต้องการสินค้าความงามราคากลาง–พรีเมียมเพิ่มขึ้น
- ตะวันออกกลาง: ต้องการสินค้าความงาม Halal ซึ่งไทยมีระบบรับรองที่แข็งแรง
- อินโดนีเซีย: จะบังคับใช้ Halal Cosmetics ปี 2026 ทำให้ OEM ไทยได้เปรียบในการเตรียมความพร้อม
เปรียบเทียบไทยกับประเทศคู่แข่งใน ASEAN
เมื่อเทียบกับเวียดนามและอินโดนีเซีย ไทยมีข้อได้เปรียบด้านคุณภาพการผลิตและความพร้อมด้านกฎระเบียบ (อย. + AHCRS) และโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ที่ดีกว่า แต่ต้นทุนแรงงานสูงกว่า
สรุป: ไทยคือศูนย์กลางการผลิตความงามที่ครบวงจร
ด้วยการผสมผสานของซัพพลายเชนสมุนไพร มาตรฐานการผลิต กฎระเบียบที่ยืดหยุ่น และโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ ทำให้ไทยกลายเป็น Manufacturing Hub ของ ASEAN ในด้าน Beauty & Personal Care อย่างแท้จริง ผู้ประกอบการที่เลือก โรงงานผลิตครีม ในไทยจึงมีความได้เปรียบทั้งตลาดในประเทศและการส่งออกสู่ระดับโลก
คำถามที่พบบ่อย
ทำไมไทยถึงเป็นฮับการผลิตความงามของอาเซียน?
เพราะไทยมีที่ตั้งศูนย์กลาง ซัพพลายเชนสมุนไพร มาตรฐานการผลิต และนโยบายรัฐสนับสนุน
ตลาดความงามไทยเติบโตเท่าไร?
คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 5.45% CAGR จากปี 2025 ถึงปี 2034
การส่งออกสินค้าความงามไทยไปต่างประเทศมีมูลค่าเท่าไร?
ปี 2023 ส่งออก HS33 ~2.45 พันล้านดอลลาร์ รวม HS34 กว่า 3.4 พันล้านดอลลาร์
กฎหมายและมาตรฐานในไทยเอื้อต่อการผลิตอย่างไร?
ใช้ระบบจดแจ้ง อย. ที่รวดเร็ว และสอดคล้องกับ ASEAN Cosmetic Directive (AHCRS)
ตลาดใดที่มีโอกาสส่งออกสูงที่สุด?
CLMV, จีน, ตะวันออกกลาง และอินโดนีเซียที่กำลังบังคับใช้ Halal Cosmetics




