ในบรรดาสกินแคร์ทั้งหมด “ครีมกันแดด” คือผลิตภัณฑ์ที่สำคัญที่สุดและขาดไม่ได้โดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพอากาศแดดจัดของประเทศไทย เพราะครีมกันแดดเปรียบเสมือน “เกราะพิทักษ์ผิว” ที่ช่วยปกป้องผิวจากอันตรายของรังสี UV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของปัญหาผิวมากมาย ตั้งแต่ความหมองคล้ำ, จุดด่างดำ, ริ้วรอยก่อนวัย, ไปจนถึงมะเร็งผิวหนัง แต่การจะได้รับประสิทธิภาพการป้องกันสูงสุดนั้น ต้องมาจากการเลือกและใช้ครีมกันแดดอย่างถูกวิธี บทความนี้คือคู่มือฉบับสมบูรณ์ที่จะทำให้คุณเข้าใจทุกเรื่องเกี่ยวกับครีมกันแดด
รังสี UVA และ UVB คืออะไร?
ในแสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่เป็นอันตรายต่อผิวอยู่ 2 ชนิดหลักๆ
- รังสี UVA (Aging Rays) สามารถทะลุผ่านเมฆและกระจกได้ ทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวหนังแท้ เป็นสาเหตุหลักของ ริ้วรอยก่อนวัย และความหย่อนคล้อย
- รังสี UVB (Burning Rays) ไม่สามารถทะลุผ่านกระจกได้ แต่เป็นสาเหตุหลักของ ผิวไหม้แดด (Sunburn) และเป็นตัวกระตุ้นการเกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำ
ครีมกันแดดที่ดีจึงต้องสามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB หรือที่เรียกว่า “Broad-Spectrum”
“SPF” และ “PA” บอกอะไรเรา?
SPF (Sun Protection Factor)
- ค่าที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการป้องกัน รังสี UVB (รังสีที่ทำให้ผิวไหม้)
- ตัวเลข SPF ไม่ได้หมายถึงเปอร์เซ็นต์การป้องกัน แต่หมายถึง “ระยะเวลา” ที่ผิวจะทนต่อแสงแดดได้นานขึ้นเมื่อเทียบกับตอนที่ไม่ได้ทา เช่น หากปกติผิวคุณจะเริ่มแดงเมื่อโดนแดด 10 นาที การทาครีมกันแดด SPF 50 จะช่วยยืดระยะเวลานั้นออกไปเป็น 10 x 50 = 500 นาที (ตามทฤษฎี)
- สำหรับประเทศไทย ควรเลือกใช้ SPF 30 เป็นอย่างต่ำ และแนะนำที่ SPF 50 หรือ 50+ เพื่อการปกป้องที่มีประสิทธิภาพ
PA (Protection Grade of UVA)
- ค่าที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพในการป้องกัน รังสี UVA (รังสีที่ทำให้เกิดริ้วรอย) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่นิยมใช้ในเอเชีย
- ยิ่งมีเครื่องหมายบวก (+) มากเท่าไหร่ ยิ่งป้องกันรังสี UVA ได้สูงขึ้น
- ควรเลือกใช้ PA+++ หรือ PA++++ เพื่อการป้องกันริ้วรอยที่ดีที่สุด
ประเภทของครีมกันแดด
ครีมกันแดด สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ ครีมกันแดดชนิดเคมีและครีมกันแดดชนิดกายภาพ
- ครีมกันแดดชนิดเคมีประกอบด้วยสารเคมีที่ทำหน้าที่ดูดซับรังสี UV แล้วแปลงให้เป็นความร้อนและปล่อยออกจากผิว สารเคมีที่ใช้บ่อยได้แก่ ออกซีเบนโซน (Oxybenzone), อโวเบนโซน (Avobenzone), และออกซอคทิน (Octocrylene)
- ครีมกันแดดชนิดกายภาพประกอบด้วยสารที่ทำหน้าที่สะท้อนหรือกระจายรังสี UV ออกจากผิว เช่น ซิงค์ออกไซด์ (Zinc Oxide) และไทเทเนียมไดออกไซด์ (Titanium Dioxide) การเลือกประเภทของครีมกันแดดขึ้นอยู่กับความชอบและความเหมาะสมของสภาพผิว
วิธีการใช้ครีมกันแดด
1. ปริมาณที่ถูกต้อง (The Right Amount) – ข้อที่คนพลาดมากที่สุด!
- ผิวหน้าและลำคอ ปริมาณที่ถูกต้องเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพตามที่ระบุบนฉลากคือ 2 มิลลิกรัมต่อตารางเซนติเมตร หรือจำง่ายๆ คือ “ปริมาณ 2 ข้อนิ้วชี้” หรือประมาณ 1/4 ช้อนชา การทาน้อยกว่านี้จะทำให้ประสิทธิภาพของ SPF ลดลงอย่างมาก
- ผิวกาย ประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือ 1 แก้วช็อตเล็กๆ สำหรับทาทั่วร่างกาย
2. ทาก่อนออกแดด (Apply Before Exposure)
ควรทาครีมกันแดด ก่อนออกแดดอย่างน้อย 15-30 นาที เพื่อให้สารกันแดดเซ็ตตัวและเริ่มทำงานได้อย่างเต็มที่
3. อย่าลืมทาซ้ำ! (Don’t Forget to Reapply!)
ควรทาครีมกันแดดซ้ำ ทุกๆ 2 ชั่วโมง หรือทาซ้ำทันที หลังว่ายน้ำ, เหงื่อออกมาก, หรือหลังจากเช็ดตัวด้วยผ้าขนหนู
4. ลำดับการทา (Application Order)
ทาครีมกันแดดเป็น “ขั้นตอนสุดท้ายของการบำรุงผิวในตอนเช้า” (หลังทามอยส์เจอไรเซอร์) และ “ก่อนเริ่มแต่งหน้า”
“วิธีเลือกครีมกันแดด” ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์และสภาพผิว
เลือก SPF 30/PA+++ ขึ้นไป (แนะนำ SPF50+/PA++++) และเป็นสูตร Broad-Spectrum
เลือกตามสภาพผิว
- ผิวมัน/ผิวเป็นสิว เลือกเนื้อเจล, ฟลูอิด, หรือโลชั่นที่บางเบา สูตร Oil-free และ Non-comedogenic (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน)
- ผิวแห้ง เลือกเนื้อครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
- ผิวแพ้ง่าย เลือก Physical Sunscreen หรือสูตรที่ระบุว่าสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ ปราศจากน้ำหอมและแอลกอฮอล์
เลือกตามกิจกรรม
ชีวิตประจำวันในออฟฟิศ: สามารถใช้กันแดดเนื้อบางเบาทั่วไปได้
กิจกรรมกลางแจ้ง/เล่นกีฬา/ว่ายน้ำ: ควรเลือกสูตรที่ “กันน้ำ” (Water-resistant) หรือ “กันน้ำได้ดีมาก” (Very Water-resistant)
ครีมกันแดดคือการลงทุนเพื่อสุขภาพผิวที่ดีที่สุดในระยะยาว การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพผิวและไลฟ์สไตล์ ควบคู่ไปกับการทาในปริมาณที่ถูกต้องและทาซ้ำอย่างสม่ำเสมอ คือ “เคล็ดลับ” ที่จะช่วยปกป้องผิวของคุณจากรังสี UV ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 100%
