ครีมแต้มสิวในเซเว่น ยี่ห้อไหนดี 2025 คัดมาแล้วตัวไหนเหมาะกับคุณ

ครีมแต้มสิวในเซเว่นแนะนำปี 2025 เลือกสูตรที่เหมาะกับสภาพผิว

สิวอาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่สำหรับคนที่กำลังเจอปัญหาอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตัน สิวอักเสบ หรือสิวที่ขึ้นซ้ำๆ จนหมดความมั่นใจ การเลือก “ครีมแต้มสิว” หรือ “เจลแต้มสิว” ที่เหมาะกับผิวตัวเองคือสิ่งสำคัญที่สุด เพราะการใช้ผิดสูตรอาจยิ่งทำให้สิวลุกลาม แสบ แห้ง หรือทิ้งรอยดำรอยแดงให้ต้องมานั่งแก้อีกหลายเดือน

หัวข้อในบทความนี้

เข้าใจต้นเหตุของสิว ก่อนเลือกครีมแต้มบนสิว

เข้าใจสาเหตุการเกิดสิวก่อนเลือกใช้ครีมแต้มสิวให้ได้ผล

สิวไม่ได้เกิดจากความสกปรกเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจากหลายปัจจัยที่ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบ เช่น ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป เซลล์ผิวไม่ผลัดตัวตามรอบ เชื้อแบคทีเรียสะสม รวมถึงฮอร์โมนและความเครียดที่กระตุ้นให้สิวลุกลาม การรู้ว่าปัญหาสิวของคุณมาจากอะไรจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เลือกครีมแต้มสิวได้ตรงจุดและเห็นผลจริง

  • สิวอุดตันจากความมันเกิน: ใช้ครีมแต้มที่มี BHA หรือ Zinc ควบคุมความมันและช่วยเปิดรูขุมขน
  • สิวอักเสบหรือมีหัวหนอง: เลือกสูตรที่มี Sulfur, Benzoyl Peroxide หรือ Tea Tree Oil ฆ่าเชื้อและลดอักเสบ
  • สิวจากฮอร์โมนหรือความเครียด: ใช้สูตรอ่อนโยนเสริมด้วย Niacinamide และสารปลอบประโลม เช่น Centella
  • สิวจากการแพ้หรือระคายเคือง: หลีกเลี่ยงกรดแรง น้ำหอม แอลกอฮอล์ และเลือกสูตรสำหรับผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ

กลุ่มอายุและประเภทสิวที่มักเจอ

กลุ่มอายุ ลักษณะสิวที่พบ แนวทางดูแล
วัยรุ่น (13–19 ปี) สิวฮอร์โมน สิวอุดตัน สิวหัวหนอง ใช้สูตรอ่อนโยนที่มี BHA หรือ Tea Tree หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์แรง
วัยทำงาน (20–30 ปี) สิวอุดตันเรื้อรัง สิวอักเสบจากความเครียด เลือกครีมแต้มสิวที่มี Salicylic Acid, Sulfur หรือ Niacinamide ลดรอยสิวควบคู่
วัย 30 ปีขึ้นไป สิวใต้ผิวและรอยสิวชัด เลือกสูตรที่ช่วยผลัดเซลล์เบา ๆ และมีสารสมานผิว เช่น Centella หรือ Aloe

ประเภทสิวที่พบบ่อยในแต่ละช่วงอายุ

คำถามที่หลายคนอยากรู้คือสิวจะหายเมื่อไหร่?” คำตอบคือสิวทั่วไปมักใช้เวลา 1–2 สัปดาห์ในการยุบ ถ้าเป็นสิวอักเสบเล็กๆ อาจเห็นผลในไม่กี่วัน แต่ถ้าเป็นสิวอุดตันลึกหรือสิวฮอร์โมน อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงเดือนจึงจะเห็นผลจริง ส่วนคำถามที่ว่า “สิวจะไม่เกิดอีกได้ไหม?” ความจริงคือสิวสามารถกลับมาได้เสมอหากยังมีปัจจัยกระตุ้นเดิม เช่น ฮอร์โมนไม่สมดุล การพักผ่อนน้อย หรือใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะกับผิว การป้องกันสิวให้ไม่กลับมาจึงอยู่ที่การรักษาสมดุลของผิว ดูแลความสะอาดอย่างพอดี และใช้ครีมแต้มสิวหรือสกินแคร์ที่ช่วยควบคุมสาเหตุได้อย่างต่อเนื่อง

แนวทางใช้ครีมแต้มสิวให้เห็นผล

การใช้ครีมแต้มสิวให้ได้ผลไม่ได้อยู่ที่ตัวผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “ลำดับการใช้ เวลา และความถี่” ที่เหมาะกับสภาพผิว เพราะต่อให้เป็นครีมแต้มสิวสูตรดี ถ้าใช้ผิดวิธีก็ไม่ต่างจากไม่ได้ผลเลย

  • แต้มก่อนครีมบำรุง : หลังล้างหน้าและเช็ดหน้าให้แห้ง แต้มครีมลงบนหัวสิวโดยตรง รอให้แห้งก่อนทาสกินแคร์อื่น
  • เริ่มจากวันละ 1 ครั้ง (ตอนกลางคืน) : เพื่อให้ผิวปรับตัว หากไม่แสบหรือลอกจึงค่อยเพิ่มเป็นเช้า–เย็น
  • ไม่ต้องแต้มทั่วหน้า : เน้นเฉพาะจุดที่มีสิว เพื่อป้องกันการระคายเคืองหรือผิวลอก
  • ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์และกันแดดร่วมเสมอ : ช่วยลดการลอกและป้องกันรอยสิวเข้มขึ้นจากแสงแดด
  • หากสิวไม่ยุบใน 7–10 วัน : ให้หยุดใช้ชั่วคราวและปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะอาจเป็นสิวฮอร์โมนหรือสิวอักเสบลึกที่ต้องใช้ยาร่วมรักษา

5 ครีมแต้มสิวในเซเว่นที่มีขายจริง อัปเดต 2025

1. Mentholatum Acnes Sealing Jell

Mentholatum Acnes Sealing Jell 7-11

ครีมแต้มสิวในตำนานที่หลายคนใช้ตั้งแต่วัยรุ่น สูตรของ Mentholatum Acnes Sealing Jell เน้นการยับยั้งเชื้อสิวและลดการอุดตันด้วย Sulfur และ Salicylic Acid พร้อมสารสกัดจากใบบัวบกที่ช่วยลดรอยแดงหลังสิว เหมาะกับคนที่มีสิวอุดตันเรื้อรังหรือสิวหัวแดงขนาดเล็ก ใช้แล้วแห้งเร็ว ไม่เหนอะหน้า และไม่ทิ้งคราบขาวบนผิว

  • ส่วนผสมหลัก: Sulfur, Salicylic Acid, Centella Asiatica, Vitamin E
  • เนื้อสัมผัส: เจลใส ซึมไว ไม่มัน
  • เหมาะกับ: ผิวมันและผิวผสม
  • ราคา: ประมาณ 69 บาท / หลอด
  • เคล็ดลับการใช้: แต้มหลังล้างหน้า รอให้แห้งก่อนลงครีมบำรุง ใช้กลางคืนจะเห็นผลชัดกว่า
  • ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยงบริเวณผิวแห้งหรือรอบดวงตา เพราะอาจลอกได้ง่าย

2. Smooth E Hydrogel Plus Rapid Action

Smooth E Hydrogel Plus Rapid Action 7-11

สูตรนี้โดดเด่นด้วยความอ่อนโยน ปราศจากสเตียรอยด์และแอลกอฮอล์ เหมาะกับผู้ที่มีสิวอักเสบระยะเริ่มต้นหรือผิวบอบบาง เนื้อเจลเป็นแบบไฮโดรเจลใส ช่วยลดอาการแดง บวม และฟื้นฟูผิวให้ชุ่มชื้นในขณะเดียวกัน เหมาะกับผู้ที่ต้องการครีมแต้มสิวที่ไม่ทำให้ผิวแห้งลอก

  • ส่วนผสมหลัก: Niacinamide, Aloe Vera, Hydrogel Base
  • เนื้อสัมผัส: เจลใสเย็นผิว ซึมเร็ว
  • เหมาะกับ: ผิวแพ้ง่าย ผิวแห้ง หรือผู้ใช้ยาแต้มสิวร่วมอื่น
  • ราคา: ประมาณ 59 บาท / หลอด
  • เคล็ดลับการใช้: แต้มบาง ๆ วันละ 1–2 ครั้งก่อนนอน ช่วยลดรอยแดงจากสิวได้ภายในไม่กี่วัน
  • ข้อควรระวัง: หากใช้ร่วมกับกรดผลัดผิวหรือเรตินอยด์ ควรเว้นระยะ 10 นาที

3. Mizumi Peptide Acne Gel (แบบซอง)

Mizumi Peptide Acne Gel 7-11

ครีมแต้มสิวที่ได้รับความนิยมสูงในช่วงปี 2025 เพราะใช้เทคโนโลยีเปปไทด์เข้าช่วยลดอักเสบของสิว พร้อม Niacinamide และชะเอมเทศที่ช่วยให้รอยแดงดูจางลง เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือไม่ต้องการใช้สารฆ่าเชื้อแรง ๆ เนื้อเจลบางเบา ไม่แสบผิว และซึมเร็ว

  • ส่วนผสมหลัก: Peptide Complex, Niacinamide, Licorice Extract, BHA
  • เนื้อสัมผัส: เจลใส เบาบาง ไม่เหนียว
  • เหมาะกับ: ผิวแพ้ง่ายหรือผู้ที่เป็นสิวซ้ำ ๆ บริเวณเดิม
  • ราคา: ประมาณ 49 บาท / ซอง
  • เคล็ดลับการใช้: ใช้เฉพาะกลางคืนหลังล้างหน้า แต้มบาง ๆ เฉพาะหัวสิวและบริเวณรอยแดง
  • ข้อควรระวัง: หลีกเลี่ยงการทาทั่วหน้า เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองในบางราย

4. Jula’s Herb Marigold Acne Gel

Jula’s Herb Marigold Acne Gel 7-11

สูตรสมุนไพรไทยที่เน้นส่วนผสมจาก “ดอกดาวเรือง” ช่วยลดการอักเสบและปลอบประโลมผิว พร้อมกรดผลัดผิวอ่อน ๆ อย่าง AHA และ BHA ที่ช่วยให้สิวอุดตันแห้งไวขึ้น เหมาะสำหรับคนที่มีสิวอุดตัน สิวเสี้ยน หรือสิวหัวปิดบริเวณคางและหน้าผาก

  • ส่วนผสมหลัก: Calendula Extract, AHA, BHA, Aloe Vera
  • เนื้อสัมผัส: เจลเหลืองใส มีกลิ่นสมุนไพร
  • เหมาะกับ: ผิวมันหรือผิวที่มีสิวอุดตัน
  • ราคา: ประมาณ 39 บาท / ซอง
  • เคล็ดลับการใช้: แต้มเฉพาะจุดหรือทาทั่วบริเวณที่สิวขึ้นซ้ำ เช่น หน้าผากหรือคาง
  • ข้อควรระวัง: ผิวแห้งหรือแพ้ง่ายควรเริ่มใช้สัปดาห์ละ 3 ครั้งก่อนเพิ่มความถี่

5. Yanhee Acne Cream

Yanhee Acne Cream 7-11

ครีมแต้มสิวจากโรงพยาบาลยันฮี หนึ่งในแบรนด์เวชสำอางที่ได้รับความนิยมสูงในไทย มีส่วนผสมของ Sulfur และ Zinc ที่ช่วยยับยั้งเชื้อสิวและลดการอุดตัน พร้อม Aloe Vera เพิ่มความชุ่มชื้น เหมาะกับผู้ที่มีสิวอักเสบหรือสิวที่ขึ้นซ้ำจุดเดิม

  • ส่วนผสมหลัก: Sulfur, Zinc Oxide, Aloe Vera Extract
  • เนื้อสัมผัส: ครีมสีขาว เนื้อแน่น แห้งไว
  • เหมาะกับ: สิวอักเสบและผิวมัน
  • ราคา: ประมาณ 49 บาท / ซอง
  • เคล็ดลับการใช้: แต้มเฉพาะจุดวันละ 1–2 ครั้ง ใช้กลางคืนดีที่สุดเพราะตัวยาออกฤทธิ์ได้เต็มที่
  • ข้อควรระวัง: กลิ่นซัลเฟอร์ค่อนข้างแรง แนะนำทดสอบบริเวณกรามก่อนใช้ทั่วใบหน้า

สรุป วิธีเลือกครีมแต้มสิวให้เหมาะกับผิว

วิธีเลือกครีมแต้มสิวให้เหมาะกับสภาพผิวเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

จากข้อมูลการวิจัยและการพัฒนาสูตรจริงของ โรงงานรับผลิตครีมมาตรฐาน Wise Plus Grow พบว่าการเลือกครีมแต้มสิวให้ได้ผลสูงสุด ต้องพิจารณาจาก “สาเหตุของสิว” และ “สภาพผิว” เป็นหลัก ไม่ใช่แค่ส่วนผสมที่แรงหรือแบรนด์ยอดนิยม เพราะผิวแต่ละคนตอบสนองต่อสารออกฤทธิ์แตกต่างกัน

  • ผิวมันและสิวอุดตัน: ควรเลือกสูตรที่มี BHA (Salicylic Acid) หรือ Sulfur ช่วยละลายสิ่งอุดตันและลดการเกิดหัวสิวใหม่ โดยเฉพาะสูตรเนื้อเจลที่ไม่อุดตันรูขุมขน
  • สิวอักเสบหรือสิวหัวแดง: ให้เน้นสารลดเชื้อและปลอบประโลมผิว เช่น Zinc, Tea Tree Oil, Niacinamide ที่ช่วยฆ่าเชื้อสิวและลดรอยแดงโดยไม่ทำให้ผิวลอก
  • ผิวแพ้ง่ายหรือมีสิวซ้ำจุดเดิม: เริ่มจากสูตรอ่อนโยน ปราศจากแอลกอฮอล์ น้ำหอม และกรดแรง เสริมด้วยสารสกัดจาก ใบบัวบก (Centella) หรือ Aloe Vera เพื่อฟื้นสมดุลผิว

ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตรจาก Wise Plus Grow ยังแนะนำเพิ่มเติมว่า หากต้องการให้สิวไม่กลับมา ควรใช้ครีมแต้มสิวร่วมกับการดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง เช่น รักษาความสะอาดพอดี ไม่ล้างหน้าบ่อยเกินไป เติมมอยส์เจอร์เพื่อรักษาสมดุล และหลีกเลี่ยงการกดหรือบีบสิว เพราะจะยิ่งทำให้ผิวเกิดการอักเสบซ้ำและทิ้งรอยดำในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับครีมแต้มสิว

1. ครีมแต้มสิวใช้เวลาแค่ไหนถึงจะเห็นผล?

สิวอักเสบขนาดเล็กมักยุบภายใน 2–3 วัน ส่วนสิวอุดตันอาจใช้เวลาประมาณ 1–2 สัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับส่วนผสมและการตอบสนองของผิวแต่ละคน

2. สามารถใช้ครีมแต้มสิวหลายตัวพร้อมกันได้ไหม?

ไม่แนะนำให้ใช้พร้อมกัน เพราะอาจเกิดการระคายเคืองหรือแสบลอกได้ ควรเลือกสูตรเดียวที่ตรงปัญหา หรือสลับใช้เช้า–เย็นแทน

3. ครีมแต้มสิวต้องแต้มก่อนหรือหลังครีมบำรุง?

ควรแต้มก่อนลงครีมบำรุง เพื่อให้ตัวยาซึมเข้าหัวสิวโดยตรง แล้วค่อยตามด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ในบริเวณรอบ ๆ เพื่อป้องกันการแห้งลอก

4. ผิวแพ้ง่ายสามารถใช้ครีมแต้มสิวได้ไหม?

ได้ แต่ควรเลือกสูตรอ่อนโยน ปราศจากแอลกอฮอล์ น้ำหอม และสารผลัดผิวแรง ๆ เช่น BHA หรือ Benzoyl Peroxide รวมถึงควรทำแพตช์เทสต์ก่อนใช้จริง

5. สิวจะไม่กลับมาอีกได้ไหมถ้าใช้ครีมแต้มสิวอย่างเดียว?

ไม่สามารถป้องกันได้ 100% เพราะสิวเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งฮอร์โมน พฤติกรรมการนอน อาหาร และความเครียด ควรใช้ครีมแต้มสิวควบคู่กับการดูแลผิวให้สมดุลและพักผ่อนเพียงพอ

เกี่ยวกับผู้เขียน

Scroll to Top
ไอคอน PDPA

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน กรุณาดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และตั้งค่าคุกกี้ได้ที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่จำเป็นคือสิ่งที่สำคัญสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ ทำให้คุณสามารถใช้งานและเรียกดูเว็บไซต์ได้ตามปกติ คุณไม่สามารถปิดการใช้งานคุกกี้เหล่านี้ในระบบของเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้วิเคราะห์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน

    คุกกี้เหล่านี้ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, หน้าเว็บที่ได้รับความนิยม และพฤติกรรมการท่องเว็บ ซึ่งช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ได้
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า