แม้จะผ่านช่วงพีคมาแล้ว แต่ K-Beauty ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในตลาดความงามโลก ปี 2025 มูลค่าตลาดคาดว่าจะโตจาก 11.56 พันล้านดอลลาร์ (2024) เป็น 12.43 พันล้านดอลลาร์ (2025) โดยมีอัตราเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ประมาณ 7.5% ต่อปี (The Business Research Company, 2024)
ในภูมิภาคเอเชีย รายงานของ BDA Partners (2024) ระบุว่าเอเชียครองสัดส่วนกว่า 40% ของยอดขาย Beauty ทั่วโลก และจะยังเติบโตเฉลี่ยกว่า 6–7% ต่อปี ขณะที่ข้อมูลของ Kantar Worldpanel (2025) ชี้ว่าในไทย ช่องทางออนไลน์กลายเป็นช่องทางอันดับหนึ่ง ของการซื้อ Beauty & Personal Care แซง offline เป็นครั้งแรก เทรนด์นี้สะท้อนว่าเจ้าของแบรนด์ไทยที่ร่วมมือกับ โรงงานรับผลิตครีม ที่เข้าใจทั้งตลาดดิจิทัลและพฤติกรรมผู้บริโภค จะมีความได้เปรียบในการสร้างสินค้าที่พร้อมแข่งขัน
5 เทรนด์ K-Beauty 2025 ที่ต้องจับตา
1. นวัตกรรมส่วนผสมและผลพิสูจน์จริง (Ingredient-Driven Innovation & Clinical Proof)
ปี 2025 ผู้บริโภคไม่ได้เลือกสกินแคร์เพราะแพ็กเกจสวยหรือเนื้อสัมผัสแปลกใหม่เพียงอย่างเดียว แต่ให้ความสำคัญกับ active ingredients หรือ “ส่วนผสมที่ทำงานจริง” มากขึ้น ตัวอย่างเช่น peptide (เปปไทด์) ที่ช่วยฟื้นฟูผิว, exosome (เอ็กโซโซม) ที่เป็นกระแสมาแรง และสูตรที่เป็นมิตรต่อจุลินทรีย์ผิว (microbiome-friendly formula) แบรนด์เกาหลีจำนวนมากเริ่มโชว์ผลการทดสอบทางคลินิก (clinical proof) เพื่อยืนยันว่าใช้แล้วเห็นผลจริง เทรนด์นี้ยังสะท้อนชัดเจนใน เทรนด์ครีมขายดี 2025 ที่พบว่าครีมยอดนิยมมักมีส่วนผสม active เด่นและผ่านการทดสอบทางวิทยาศาสตร์
2. ความสวยแบบผสมผสาน (Hybrid Beauty – Makeup + Skincare)
ผลิตภัณฑ์ที่รวมการบำรุงและเมคอัพในชิ้นเดียวกำลังได้รับความนิยม เช่น cushion ที่ไม่เพียงแต่ปกปิดผิวแต่ยังมีสารบำรุง หรือ BB serum ที่เป็นทั้งรองพื้นและเซรั่มบำรุง เทรนด์นี้ช่วยให้คนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ Gen Z และ Gen Y ลดขั้นตอนการแต่งหน้า แต่ยังคงได้ผิวสวยและสุขภาพดี
3. ผิวสวยด้วยสกินแคร์น้อยชิ้น (Skinimalism & Minimal Routine)
แนวคิด “Less is More” หรือการดูแลผิวแบบมินิมอลยังคงมาแรง ผู้บริโภคเลือกใช้สกินแคร์น้อยชิ้นที่สุด แต่เน้นคุณภาพและผลลัพธ์ที่ชัดเจน ทำให้ K-Beauty พัฒนาผลิตภัณฑ์ all-in-one ที่สามารถบำรุงและแก้ปัญหาหลายอย่างในหนึ่งเดียว เช่น ครีมที่ทั้งเพิ่มความชุ่มชื้น ลดเลือนริ้วรอย และช่วยปกป้องผิว
4. เทคโนโลยีเสริมความงาม (Tech-Integrated Beauty)
Gen Z และผู้บริโภครุ่นใหม่ให้ความสนใจการใช้เทคโนโลยีในความงามมากขึ้น เช่น AR Try-On (การลองเครื่องสำอางผ่านกล้องมือถือ) และ AI Skin Diagnosis (การวิเคราะห์ผิวด้วย AI) ข้อมูลจาก Kantar ชี้ว่ากว่า 60% ของผู้บริโภคเกาหลีและไทยสนใจใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ ทำให้แบรนด์ K-Beauty เริ่มผสานดิจิทัลเข้ากับทั้ง e-commerce และประสบการณ์ในร้านจริง
5. ความยั่งยืนและการดูแลสิ่งแวดล้อม (Sustainability & Green K-Beauty)
ผู้บริโภคในปี 2025 ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะปัญหาขยะจากบรรจุภัณฑ์ แบรนด์เกาหลีจึงหันมาเน้นบรรจุภัณฑ์รีฟิล ขวดรีไซเคิลได้ และใช้ส่วนผสมที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ พร้อมการันตีว่าเป็น cruelty-free (ไม่ทดลองในสัตว์) เทรนด์นี้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้ซื้อในไทยที่เริ่มให้ความสำคัญกับสินค้า “รักษ์โลก” มากขึ้นเช่นกัน ซึ่งสอดคล้องกับ 10 Beauty & Wellness Trends 2025 ที่ชี้ให้เห็นว่าแนวคิดการดูแลสุขภาพและสิ่งแวดล้อมกำลังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดความงามทั่วโลก
K-Beauty เทียบกับ Thai Botanical Skincare
ผู้บริโภคไทยยังชื่นชอบ K-Beauty แต่เริ่มหันมามอง Thai Botanical Skincare เช่น ครีมขมิ้น เซรั่มใบบัวบก ซึ่งยอดขายบน Lazada และ Shopee โตต่อเนื่องกว่า 20% YoY การเปรียบเทียบนี้ช่วยชี้ให้เห็นว่า แบรนด์ไทยสามารถใช้ “สมุนไพร + งานวิจัย” มาแข่งขันกับ K-Beauty ได้
ปัจจัย | K-Beauty | Thai Skincare |
---|---|---|
Innovation | R&D, Clinical Proof, Texture ใหม่ | สมุนไพรท้องถิ่น, สูตรเฉพาะตลาดไทย |
Marketing | K-Drama, K-Pop, Influencer Global | Storytelling วัฒนธรรมไทย, Micro-Influencer |
Positioning | Mid–Premium, Image “Made in Korea” | Affordable Luxury, Local Authenticity |
กลยุทธ์แบรนด์ไทยในยุค Beauty & Wellness 2025
กระแส K-Beauty ในปี 2025 ชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จในตลาดความงามไม่ได้เกิดจากสูตรที่ดีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องผสานทั้งนวัตกรรม เทรนด์โลก และความเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง สำหรับแบรนด์ไทย จุดแข็งอยู่ที่การใช้ สมุนไพรท้องถิ่น ผนวกเข้ากับเทคโนโลยีการพัฒนาสูตรที่ทันสมัย เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ทั้งแตกต่างและตอบโจทย์ความต้องการจริงของตลาด
การเลือกพาร์ทเนอร์ที่เข้าใจทั้ง K-Beauty และ Thai Botanical Skincare เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้แบรนด์ไทยออกแบบสูตรและภาพลักษณ์ที่ตอบโจทย์ตลาดโลกได้จริง ไม่ใช่เพียงการทำสินค้าเพื่อขาย แต่คือการสร้าง positioning ที่แตกต่าง
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจแนวทางนี้ การเริ่มต้นจาก การพัฒนาสูตรครีมร่วมกับโรงงานที่ได้มาตรฐาน อาจเป็นจุดเริ่มที่ดี ขณะที่ใครที่มองหาการเจาะกลุ่มเซรั่มที่กำลังเติบโต ก็สามารถศึกษาเพิ่มเติมจาก ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเซรั่ม เพื่อหาทางเลือกที่เหมาะกับตลาดของตน
สรุป
K-Beauty 2025 แสดงให้เห็นว่า “ความนวัตกรรม + ความโปร่งใส” คืออนาคตของอุตสาหกรรมนี้ และยังมีอิทธิพลใน SEA อย่างมาก แต่สำหรับไทย โอกาสอยู่ที่การต่อยอดสมุนไพรและการสร้างแบรนด์ที่สะท้อนความเป็นตัวตนท้องถิ่น บทเรียนจากเกาหลีจึงไม่ใช่การเลียนแบบ แต่คือการนำมา ปรับใช้เพื่อสร้างแบรนด์ไทยที่แข็งแรง
คำถามพบบ่อย
K-Beauty 2025 แตกต่างจากปีก่อนอย่างไร?
จากเดิมที่เน้นแพ็กเกจจิ้งและเท็กซ์เจอร์ ปี 2025 จะเน้นผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้จริง เทคโนโลยีเสริม และความยั่งยืน
Gen Z ไทยยังสนใจ K-Beauty หรือไม่?
สนใจมาก แต่เลือกที่โปร่งใส ส่วนผสมปลอดภัย และเชื่อมกับ AR/AI experience ได้
ผลิตภัณฑ์ใดของ K-Beauty ยังขายดีในไทย?
เซรั่ม, essence, cushion foundation, และ hybrid sunscreen-BB cream
Thai Botanical Skincare จะสู้ K-Beauty ได้หรือไม่?
ได้ หากผสมสมุนไพรไทยกับงานวิจัยทันสมัย และสร้าง brand story ที่ชัดเจน
เจ้าของแบรนด์ควรเริ่มต้นตรงไหน?
เริ่มจากศึกษาตลาด, ร่วมงานกับ OEM/ODM ที่มีมาตรฐาน และทดลองสูตรที่สามารถพิสูจน์ผลได้จริง