อุตสาหกรรมความงามของไทยกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องและขยายสู่ภูมิภาคอาเซียนอย่างชัดเจน จากเดิมที่ไทยเป็นเพียงฐานการผลิต วันนี้เรากลายเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมและการวิจัยสูตรเครื่องสำอางระดับภูมิภาค ด้วยความพร้อมของ โรงงานรับผลิตครีม ที่มีเทคโนโลยีและมาตรฐานระดับสากล ทำให้แบรนด์ใหม่ๆ สามารถเข้าสู่ตลาดได้เร็วขึ้นและแข่งขันกับต่างประเทศได้มากกว่าเดิม
- ตลาดความงามในไทย การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยเทรนด์สุขภาพและเทคโนโลยี
- อาเซียน ตลาดใหม่ที่เปิดกว้างสำหรับแบรนด์ไทย
- หมวดสินค้าที่เติบโตสูงสุดในปี 2025
- พฤติกรรมผู้บริโภคอาเซียนที่แบรนด์ควรรู้
- โอกาสของผู้ประกอบการไทยในตลาดอาเซียน
- Beauty Tech & Sustainable Innovation
- เสียงจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม
- แนวทางต่อยอดสำหรับเจ้าของแบรนด์
- ขยายมุมมองจากเทรนด์สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์จริง
- สรุป
- คำถามที่พบบ่อย
ตลาดความงามในไทย การเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยเทรนด์สุขภาพและเทคโนโลยี
ข้อมูลจากกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมระบุว่า ตลาดความงามไทยมีมูลค่าเกิน 2.3 แสนล้านบาทในปี 2024-2025 และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 6–8% โดยแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากกระแส “Beauty Wellness 2025” ที่ผู้บริโภคหันมาดูแลตัวเองแบบองค์รวม ทั้งภายนอกและภายใน รวมถึงการใช้เทคโนโลยี AI และ IoT เข้ามาช่วยออกแบบสกินแคร์เฉพาะบุคคล (Personalized Skincare)
อาเซียน ตลาดใหม่ที่เปิดกว้างสำหรับแบรนด์ไทย
กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ กำลังกลายเป็นตลาดหลักของสินค้าเครื่องสำอางไทย เนื่องจากผู้บริโภคในภูมิภาคนี้นิยมผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพในราคาที่เข้าถึงได้ และมองว่า “แบรนด์จากไทย” มีภาพลักษณ์เป็นมิตรกับธรรมชาติและเหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้น ทำให้ไทยมีศักยภาพในการขยายตลาดทั้งแบบขายตรงและการผลิต OEM เพื่อส่งออก
หมวดสินค้าที่เติบโตสูงสุดในปี 2025
- สกินแคร์สูตรธรรมชาติ (Natural Skincare) — ความต้องการสูงต่อเนื่อง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทย เช่น ขมิ้น ใบบัวบก และสาหร่ายแดง
- ผลิตภัณฑ์ปรับโทนสีผิว (Tone Up / CC / Brightening) — ได้แรงหนุนจากเทรนด์ผิวโกลว์ใสแบบเกาหลีที่ยังครองใจกลุ่มวัยทำงาน
- เมคอัพเบสและกันแดด (Hybrid Makeup-Skincare) — ผสานการปกป้องผิวและบำรุงในหนึ่งเดียว เหมาะกับอากาศร้อนแบบไทยและอาเซียน
- ผลิตภัณฑ์บุรุษ (Men Grooming) — ขยายตัวเฉลี่ย 12% ต่อปี โดยเฉพาะกลุ่มเจลล้างหน้า เซรั่ม และครีมบำรุงผิว
พฤติกรรมผู้บริโภคอาเซียนที่แบรนด์ควรรู้
ผู้บริโภคในภูมิภาคนี้ให้ความสำคัญกับ “ส่วนผสมที่มองเห็นผลได้จริง” มากกว่าการโฆษณา เช่น Niacinamide, Vitamin C, Ceramide, Peptide และสารสกัดพืชพื้นถิ่นอย่างมะขามหรือขิง ทำให้การออกแบบสูตรต้องตอบโจทย์ความคาดหวังด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยไปพร้อมกัน
อีกพฤติกรรมที่น่าสนใจคือ “การค้นหาผลิตภัณฑ์ผ่านโซเชียลมีเดีย” โดยเฉพาะ TikTok และ Shopee Live ซึ่งผู้บริโภคอาเซียนกว่า 60% ตัดสินใจซื้อจากคอนเทนต์วิดีโอสั้นมากกว่าการอ่านรีวิวบนเว็บไซต์
โอกาสของผู้ประกอบการไทยในตลาดอาเซียน
ด้วยโครงสร้างต้นทุนการผลิตที่แข่งขันได้ และระบบมาตรฐาน GMP ASEAN, ISO 22716, CPNP ทำให้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการผลิตและกระจายสินค้าในภูมิภาค เจ้าของแบรนด์รุ่นใหม่จึงสามารถใช้ประโยชน์จากระบบ รับผลิตครีม แบบครบวงจร ตั้งแต่การวิจัยสูตร การจดแจ้ง อย. ไปจนถึงการสร้างภาพลักษณ์แบรนด์และทำตลาดออนไลน์
Beauty Tech & Sustainable Innovation
แนวโน้มสำคัญในปี 2025 คือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเชื่อมต่อโลกความงาม เช่น AI Skin Scanner, Data-driven Formulation และระบบ Traceability เพื่อให้ผู้บริโภคตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบได้แบบเรียลไทม์ ขณะเดียวกันแบรนด์ไทยยังเริ่มใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลและพลาสติกชีวภาพ เพื่อรองรับข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมของอาเซียนในอนาคต
เสียงจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม
นักวิจัยด้านเครื่องสำอางธรรมชาติให้ความเห็นว่า “ตลาดอาเซียนกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากสินค้าราคาถูกไปสู่สินค้าที่มีนวัตกรรมและเนื้อหาความรู้สึกผู้ใช้จริงเป็นหัวใจสำคัญ ใครที่เข้าใจ Insight ของผู้บริโภคในแต่ละประเทศได้ก่อน จะสามารถสร้างความต่างอย่างยั่งยืนในระยะยาวได้”
แนวทางต่อยอดสำหรับเจ้าของแบรนด์
- ร่วมมือกับโรงงานที่มีแผน R&D รองรับตลาดต่างประเทศ
- พัฒนาผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่ม เช่น Vegan Skincare หรือ Men’s Hybrid Cream
- ออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้ตอบโจทย์การขนส่งและกฎระเบียบของแต่ละประเทศ
- สร้างคอนเทนต์วิดีโอสั้นเพื่อเข้าถึงตลาด Gen Z ในอาเซียน
ขยายมุมมองจากเทรนด์สู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์จริง
เมื่อเทรนด์ตลาดเครื่องสำอางในอาเซียนมุ่งไปสู่ความเป็นธรรมชาติและเทคโนโลยี การเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคเชิงลึกคือจุดเริ่มต้นสำคัญ ตัวอย่างหนึ่งคือกระแสผลิตภัณฑ์กลุ่มโทนอัพและเบสเมคอัพที่เติบโตต่อเนื่องในเอเชีย อ่านเพิ่มเติมได้ที่ Tone Up Cream ทาตอนไหน ก่อนหรือหลังกันแดด เพื่อทำความเข้าใจเทรนด์ผิวใสแบบเกาหลีที่กลายเป็นหนึ่งในแรงขับสำคัญของตลาดไทย
อีกด้านหนึ่ง สารสกัดเอเชียอย่าง BIOWHITE ก็กำลังได้รับความนิยมในกลุ่มสกินแคร์ที่ต้องการสร้างจุดขายด้านความกระจ่างใสอย่างปลอดภัย ซึ่งเป็นแนวทางที่เจ้าของแบรนด์ไทยสามารถนำไปต่อยอดเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เข้ากับตลาดภูมิอากาศร้อนชื้นของอาเซียนได้อย่างลงตัว
สรุป
ตลาดเครื่องสำอางในไทยและอาเซียนกำลังเปลี่ยนจากการขายสินค้าราคาถูก ไปสู่ยุคของแบรนด์ที่มีคุณค่าและนวัตกรรม การเข้าใจเทรนด์ผู้บริโภค ผสานเทคโนโลยี และทำงานกับพันธมิตรการผลิตที่มีมาตรฐานสูง จะช่วยให้แบรนด์ไทยขยายสู่ภูมิภาคได้อย่างมั่นใจและยั่งยืนทางธุรกิจ
คำถามที่พบบ่อย
ตลาดเครื่องสำอางไทยปี 2025 เติบโตจากปัจจัยใด
กระแส Beauty-Wellness และการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เฉพาะบุคคลเป็นแรงขับหลัก ทำให้ตลาดขยายตัวต่อเนื่อง
ประเทศในอาเซียนใดมีศักยภาพสูงสุดสำหรับแบรนด์ไทย
เวียดนามและอินโดนีเซียมีฐานผู้บริโภคขนาดใหญ่และนิยมสินค้าไทย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สกินแคร์และเมคอัพเบส
เจ้าของแบรนด์ใหม่ควรเริ่มต้นอย่างไร
เริ่มจากศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคเป้าหมาย และร่วมงานกับโรงงานที่มีทีม R&D เข้าใจตลาดอาเซียน จะช่วยลดต้นทุนและเวลาในการพัฒนา
เทรนด์เทคโนโลยีใดจะเปลี่ยนแปลงตลาดความงาม
AI Skin Analysis, Personalized Formulation และระบบตรวจสอบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ (Traceability) จะเป็นเทคโนโลยีหลักในอนาคต
แบรนด์ไทยควรเตรียมตัวอย่างไรหากต้องการส่งออกไปอาเซียน
ศึกษากฎระเบียบของแต่ละประเทศ เช่น มาตรฐาน GMP ASEAN และปรับสูตรให้เข้ากับสภาพอากาศรวมถึงความชอบของผู้บริโภคท้องถิ่น